Navigation


 บทความ


 Go back to the forum

EVERYBODY[THEKOP]™บอร์ดของคนรักหงส์   

ไว้เป็นแนวทาง! ส่องกลยุทธ 2 ผู้ปราบ ลิเวอร์พูล แบบอยู่หมัด

LFC1892™ | Published on the fri 21 Feb 2020, 11:59 | 193 อ่าน

แม้จะทำผลงานในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้อย่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน เพราะยังคงรั้งตำแหน่งจ่าฝูงแบบไร้พ่าย

ทว่า "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล กลับต้องพบความพ่ายแพ้ในเกมยุโรปมาแล้วถึง 2 นัด และเป็นความปราชัยให้กับ 2 กุนซือ "จอมแท็กติก" ของวงการลูกหนังโลกเสียด้วย นั้นก็คือ ดิเอโก้ ซิมิโอเน่ กุนซือ "ตราหมี" แอตเลติโก มาดริด กับ คาร์โล อันเชลอตติ อดีตกุนซือ นาโปลี ลองไปดูกันว่าทั้ง 2 ทีมดังกล่าวใช้ยุทธวิธีแบบไหนกันบ้าง จึงสามารถหยุดแนวรุกของทีมแชมป์ยุโรป 6 สมัยลงได้แบบอยู่หมัด เพราะไม่เสียประตูแม้แต่ลูกเดียว เพื่อเอาไว้เป็นแนวทางให้ทีมอื่นๆ ได้นำไปใช้ในยามที่ต้องเผชิญหน้าด้วยนั่นเอง  


"นาโปลี" หยุดริมเส้นหงส์ด้วยปีกความเร็วสูง
ลิเวอร์พูล ต้องพบกับปราชัยนัดแรกจากเกมอย่างเป็นทางการของฤดูกาลนี้ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม นัดประเดิมสนามกลุ่ม อี โดยพลาดท่าบุกไปแพ้ นาโปลี 0-2


ปกติแล้ว นาโปลี มีผู้เล่นในแนวรับที่แข็งแกร่งเป็นพวกจอมเข้าปะทะหนักอยู่แล้ว และจะใช้แผนการเล่นแบบ 4-3-3 เหมือนกับ "หงส์แดง" เสียด้วย แต่เกมดังกล่าว คาร์โล อันเชลอตติ กุนซือจอมเก๋าของทีมเจ้าถิ่นในตอนนั้นเลือกใช้แผน 4-4-2 โดยขยับ ลอเรนโซ่ อินซิเญ่ ซึ่งถนัดกับการยืนเล่นเป็นกองหน้าริมเส้นให้ถอยลงไปสวมบทปีกซ้าย เพื่อให้ใช้ความเร็วในการวิ่งไล่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ แบ็กขวาจอมลุยไม่ให้เติมเกมขึ้นมาเปิดบอลได้แบบถนัด เช่นเดียวกับฝั่งซ้ายที่ให้ โฆเซ่ กาเยฆอน ปีกตัวเก่งคอยไล่แย่งบอลจาก แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ไปเลย เพราะรู้ดีว่า 2 แบ็กจอมบุกของ ลิเวอร์พูล มีทีเด็ดจากลูกครอสบอลยาวจากริมเส้นที่เอาไว้ใช้ "แอสซิสต์" จ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมซัดประตูได้แบบเป็นกอบเป็นกำ


เท่ากับว่า นาโปลี ใช้แท็กติกแบบดักเกมรุกทางริมเส้นของ "หงส์แดง" ในเกมดังกล่าวถึง 2 ชั้น เพราะยังมีแบ็กทั้งสองฝั่งคอยช่วยคุมแนวรับอีกชั้นหนึ่งด้วย ซึ่งปรากฎว่าสามารถปิดเกมบุกริมเส้นของทีมเยือนได้เป็นอย่างดี เมื่อเห็นว่าจัดการตรงจุดนี้ได้แบบอยู่หมัดแล้ว เนื่องจากลูกบอลจากตรงจุดนี้ไม่สามารถไปถึงแนวรุกของทีมแชมป์ยุโรป 6 สมัยได้ จึงมีการเติมเกมรุกในช่วงท้ายครึ่งหลังด้วยการเปลี่ยนตัว อินซิเญ่ ที่น่าจะหมดแรงวิ่งพอๆ กับ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ เสียแล้ว และให้ เฟอร์นันโด้ ยอเรนเต้ กองหน้าตัวเป้าร่างใหญ่ลงไปช่วยกดดันแนวรับของทีมฝั่งตรงข้ามที่เริ่มเหนื่อยล้าเหมือนกันบ้าง ก่อนจะมาได้ 2 ประตูในช่วงท้ายเกมจากความผิดพลาดในแนวรับของ "หงส์แดง" เริ่มจากลูกจุดโทษของ ดริส เมอร์เท่นส์ และ ยอเรนเต้ ซัดลูกปิดท้ายได้สำเร็จ



"ตราหมี" ปล่อยให้หงส์ครองบอลจนติดกับดักแนวรับ
แม้จะดูเหนือกว่าในช่วงก่อนเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก เพราะ "หงส์แดง" ยังคงแข็งแกร่งแบบต่อเนื่อง ซึ่งตรงกันข้ามกับ แอตเลติโก มาดริด ที่ผลงานช่วงหลังไม่ดีเลย และมีปัญหานักเตะได้รับบาดเจ็บหลายคน ทว่า ดิเอโก้ ซิมิโอเน่ ยังคงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นกุนซือจอมวางแท็กติกในเรื่องของแนวรับได้อย่างเหนียวแน่น จึงสามารถจัดการแนวรุกของ ลิเวอร์พูล ได้แบบอยู่หมัดด้วยวิธีการวาง "กับดัก" คือปล่อยให้ทีมคู่แข่งครองบอลแล้วถอยลงไปตั้งรับกันแบบรัดกุม


หากจะว่าไปแล้ว "ตราหมี" จัดแผนการเล่นแบบ 4-4-2 โดยให้แนวรับยืนคุมพื้นที่เอาไว้ถึง 2 ชั้นเลยทีเดียว นอกจาก 4 กองหลังแล้วยังมี 2 มิดฟิลด์ตัวรับจอมแกร่งอย่าง โธมัส ปาร์เตย์ กับ ซาอูล นิเกซ ที่พร้อมวิ่งไล่ตัดเกมคอยเคลียร์บอลทิ้งอีกด้วย และดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเข้าทางแบบรวดเร็วเสียด้วย เนื่องจาก แอตเลติโก มาดริด เป็นฝ่ายได้ประตูขึ้นนำไปก่อนตั้งแต่ช่วงต้นเกมจากลูกเตะมุมแล้วบอลขลุกขลิกอยู่ตรงหน้าปากประตู "หงส์แดง" ก่อนที่ ซาอูล จะซัดเข้าไปตุงตาข่าย จึงสามารถเล่นเกมแบบที่ถนัดตามแผนที่วางเอาไว้ได้ทันที เพราะหลังจากนั้นได้ถอยลงไปเล่นเกมรับด้วยการยืนคุมพื้นที่ตรงบริเวณกรอบเขตโทษเป็นพิเศษ และปล่อยให้ ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายครองบอลเพื่อทำเกมรุกเข้าใส่มาเลย แต่สุดท้ายกลับเจาะแนวรับของเจ้าถิ่นไม่ได้ แถมยังซัดบอลไม่ตรงกรอบแม้แต่ครั้งเดียว

แน่นอนว่า "หงส์แดง" มีสถิติครองบอลมากกว่า 67% ตรงกันข้ามกับ แอตเลติโก มาดริด ที่ครองบอลได้น้อยกว่าเพียง 33% เท่านั้น แต่กลับเป็นฝ่ายคว้าชัยเหนือทีมแชมป์ยูโรป 6 สมัยได้ด้วยวินัยในเกมรับที่วาง "แท็คติก" ให้คู่แข่งเข้ามาติดกับดักเอง ซึ่งจะต้องเป็นทีมที่มีความอดทนในการเล่นสูงมากๆ จึงจะสามารถนำแนวทางนี้ไปใช้ได้ เพราะจะไม่คิดเล่นเกมบุกแบบจริงจัง และทำได้เพียงรอดักบอลแล้วอาศัยจังหวะโต้กลับเท่านั้น แต่ "ตราหมี" เป็นทีมที่ถนัดกับการเล่นแบบนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ก่อนจะยัดเยียดความปราชัยให้ ลิเวอร์พูล ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้เป็นนัดที่ 2 ของฤดูกาลนี้ด้วยการเปิดบ้านเฉือนชนะ 1-0 พร้อมกับตุนความได้เปรียบจากเกมนัดแรกเอาไว้ได้ก่อนอีกด้วย


Cr:smmsport

About the author