Navigation


 บทความ


 Go back to the forum

EVERYBODY[THEKOP]™บอร์ดของคนรักหงส์   

12 เดือนของ เอียน รัช กับเส้นทางฟุตบอลที่ไม่ใช่ เร้ด แมชชีน

LFC1892™ | Published on the thu 05 Nov 2020, 11:08 | 374 อ่าน

เรื่องราวชีวิตของเพชรฆาตหน้าติดหนวด

เอียน รัช กับ 12 เดือนในการค้าแข้งนอกเกาะอังกฤษ…

 

หากพูดถึงศูนย์หน้าในยุค 80 ของหงส์แดงลิเวอร์พูล คงไม่มีใครไม่รู้จักเครื่องจักรสังหารประตู ชายมีหนวดอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น เอียน รัช

 

ไทมไลน์ของอสูรกายล่าตาข่ายรายนี้

1980–1986 เล่นให้ ลิเวอร์พูล กับคู่หู เคนนี่ ดัลกริช ประกาศความยิ่งใหญ่ให้โลกรู้จักกับเครื่องจักรสีแดง จ้าวแห่งยุโรป 
1986–1987 เซ็นสัญญากับ ยูเวนตุส แต่ด้วยเงื่อนไขบางอย่างตกลงให้ ลิเวอร์พูล ยืมตัวไปก่อน 12 เดือน
1987–1988 ไปอิตาลี เล่นเกมลีกให้ ยูเวนตุส 29 นัด ยิงได้ 7 ประตู รวมทุกรายการ ยิงได้ 14 ประตู ของฤดูกาลแรก
1988–1996 กลับมาสวมเสื้อตราหงส์แดงอีกครั้ง สะสมสกอร์เพิ่ม กลายเป็นนักเตะที่ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลเยอะสุดตลอดกาล
1996 ย้ายออกจาก ลิเวอร์พูล ช่วงบั้นปลายของนักฟุตบอลอาชีพ

 

รัช เกิดในที่ที่ห่างจากเมืองลิเวอร์พูลถึง 20 ไมล์ แต่เขากลับยิงในที่ที่ไม่ใช่บ้านเกิด 349 ลูก และอำลาทีมไปในปี 1996

ในช่วงกลางยุค 1980 แผ่นดินสหราชอาณาจักรเต็มไปด้วยการประท้วงอันดุเดือด โดยที่ทางฝั่งนักการเมืองของรัฐบาลก็ออกมาตอบโต้อย่างรุนแรงจนเกิดการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดเหตุการณ์อันขมขื่นหลายต่อหลายครั้ง


แกนนำในการประท้วงครั้งนั้น นำโดย อาเทอร์ สการ์กิลล์ รวมตัวกับกลุ่มคนงานเหมืองของเขา ซึ่งโดยส่วนมากเป็นชาวอาร์เจนไตน์ และชาวหมู่เกาะโฟล์กแลนด์ รวมๆ แล้วถือเป็นม๊อบที่มีจำนวนคนมากมายมหาศาล และที่วุ่นวายมากขึ้นไปอีก ยังมีพวกชาวไอร์แลนด์เหนือที่มักก่อเหตุความไม่สงบขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะนายกรัฐมนตรี มาร์กาเร็ต แท็ตเชอร์ ได้ทำการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ นั่นคือการแยกภาครัฐกับสหภาพออกจากกัน ซึ่งนั่นถือเป็นการทำร้ายชนชั้นแรงงานเป็นอย่างมาก

อีกหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักคือ กลุ่มสหภาพแรงงานโจ ที่ออกมาเดินตีฆ้องร้องกล่าวบนถนน เพราะพวกเขามองไม่เห็นอนาคตของตัวเอง แต่กลุ่มคนเหล่านั้นหารู้ไม่ว่า การเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นกลายเป็นสิ่งที่ดีขึ้นสำหรับพวกเขาในภายหลัง เพราะมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการนำสิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่าเข้ามา

 

สำหรับกีฬา ในยุคนั้นความโดดเด่นทางด้านกีฬาแบ่งออกเป็นทีมที่มีนักเตะที่มีความสามารถเฉพาะตัวที่ดี กับทีมที่มีทีมเวิร์คที่ดี แต่สิ่งที่ปกคลุมบรรยากาศในการเชียร์กีฬาในยุคนั้นก็คือ “ความรุนแรง” ซึ่งในยุคนั้นได้มีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นถึง 3 ครั้ง จนทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 190 คน และเหตุการณ์ที่สนามเฮย์เซล สเตเดี้ยมถือว่าเป็นโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด จนเป็นเหตุให้ลิเวอร์พูลถูกแบนไม่ให้ลงเล่นในรายการระดับทวีปถึง 5 ปี

ด้านตลาดซื้อขายนักเตะ ยุคนั้นนักเตะที่อยู่ในสหราชอาณาจักรมักเป็นเป้าหมายของบิ๊กเนมจากอิตาลี, สเปน และเยอรมันนีอยู่เสมอ ซึ่งในตอนนั้น กลุ่มนายทุนที่ชื่อว่า แอ๊กเนลลี่ แฟมิลี่ ของ ยูเวนตุส โด่งดังมากจากการปิดดีลนักเตะชื่อดังมากมาย และด้วยสถานะทางการเงินที่ยอดเยี่ยม พวกเขาจึงไม่คิดมากในการขายนักเตะที่มีอยู่ และการจับจ่ายใช้เงินมูลค่ามหาศาลเพื่อซื้อนักเตะก็เช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม การมาของนักเตะจากสหราชอาณาจักรก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จไปซะทุกราย โดยเฉพาะนักเตะที่อยู่ในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า หรือกองหน้าหมายเลข 9 แทบจะไม่มีใครที่โชว์ฟอร์มได้ดีเมื่อเจอกับแนวรับอันแน่นหนาสไตล์อิตาลี แต่อันที่จริงแล้วก็แทบจะไม่มีนักเตะจากสหราชอาณาจักรโชว์ฟอร์มได้ดีในลีกอิตาลีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้กระทั่ง 2 นักเตะผู้ยิ่งใหญ่อย่าง เดนนิส ลอว์ และ จิมมี่ กรีฟส์ ก็ถูกส่งกลับมายังลีกบ้านเกิดอย่างรวดเร็ว โดยทั้งคู่ใช้เวลาไม่ถึง 12 เดือนด้วยซ้ำในการค้าแข้งที่นั่น ขนาดดาวยิงแห่งวงการฟุตบอลอังกฤษยุค 60 อย่าง ลอว์ และ กรีฟส์ ยังแป๊ก ก็คงไม่แปลกหากชายที่ชื่อ เอียน รัช จะประสบปัญหาเดียวกัน

 

เอียน รัช โด่งดังและเป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลลิเวอร์พูลเป็นอย่างมาก ช่วงที่เขาประกบคู่กับดาวเด่นทีมชาติสก๊อตแลนด์อย่าง เคนนี่ ดัลกริช และสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนโด่งดังไปทั่วทวีป ทำให้ทั้งคู่กลายเป็นศูนย์หน้าอันดับต้นๆ ของยุโรป

รัช ย้ายมาลิเวอร์พูลในปี 1980 และสามารถปรับตัวเข้ากับทีมได้ในเวลาอันรวดเร็ว จนโชว์ศักยภาพของการเป็นกองหน้าตัวเป้าได้อย่างน่าประทับใจมากในยุคนั้น ซึ่งพรสวรรค์อันเป็นจุดแข็งของเขาคือ ความเร็วในการเคลื่อนที่หนีออกจากตัวประกบ และสัญชาติญาณในหาตำแหน่งที่ถูกที่ถูกเวลาเสมอ เรียกได้ว่าจมูกไวสุดๆ ส่วน เคนนี่ ดัลกริช คือผู้เล่นในแนวลึกโดยธรรมชาติ มีสมองในการคุมเกมส์และไหวพริบในการผ่านบอลเป็นเลิศ จึงไม่แปลก หากนักเตะที่มีพรสวรรค์สูงสองคนมาเล่นด้วยกันและเข้าขากันได้อย่างเพอร์เฟ็ค

ในช่วงนึงที่ลิเวอร์พูลถูกแบนไม่ให้แข่งระดับทวีป รัช จึงมีข่าวลือต่างๆ มากมายเกี่ยวกับการย้ายไปค้าแข้งกับสโมสรที่เต็มไปด้วยนักเตะอเมริกาใต้อย่างบาร์เซโลน่า ซึ่งที่นั่นมีนักเตะในสหราชอาณาจักรอย่าง แกรี่ ลินิเกอร์ และมาร์ค ฮิวจ์ส ที่เคยไปเล่นและประสบความสำเร็จมาแล้ว แต่สุดท้ายแล้วคนที่เอาจริงเอาจังกับการปิดดีลของ เอียน รัช ก็คือ จิอัมปิเอโร่ โบนิเปอร์ติ ประธานสโมสรยูเวนตุส และดีลนี้จบลงอย่างรวดเร็วด้วยความที่ประธานสโมสรลิเวอร์พูลได้ตระหนักถึงรายได้ที่ลดลงจากการโดนแบน

 

หลังจากที่ประธานสโมสรลิเวอร์พูลได้รับข้อเสนออันสุดเซอร์ไพรส์ เซอร์ จอห์น สมิธ ก็ได้เจรจาและบรรลุข้อตกลงค่าตัวของ รัช ที่มูลค่าสูงถึง 3.2 ล้านปอนด์ ถึงแม้ดีลนี้จะจบลงอย่างไม่ยากเย็น แต่ รัช รู้ดีว่าที่ยูเวนตุสมีความท้าทายของการถูกเลือกลงสนามรออยู่ เพราะในอิตาลีกำหนดให้มีนักเตะต่างชาติได้เพียงแค่ 2 คน จาก 11 ตัวจริง และ โบนิเปอร์ติ เองก็มีเดนนิสเวิลด์สตาร์อย่าง ไมเคิล เลาดรู๊ป ที่ถูกยืมตัวมาจากลาซิโอ 12 เดือน ประสานงานในแนวรุกกับนักเตะฟ้าประทานอย่าง มิเชล พลาตินี่ อยู่แล้ว ถึงแม้ว่า พลาตินี่ วางแผนไว้ว่าจะแขวนสตั๊ดในปี 86 แต่เนื่องจากการที่ถูกกดดันจากเบื้องบน จึงทำให้เขาจำเป็นต้องยืดระยะเวลาไปอีก 12 เดือนก็ตาม

และนั่นคือสิ่งที่ รัช ต้องเผชิญ แต่หลังจากที่ปิดดีลกับ ยูเวนตุส ได้ไม่นาน ลาซิโอ รู้ข่าวว่า รัช จะยังไม่ถูกส่งมาอิตาลีในทันทีเพราะรายละเอียดบางอย่างในสัญญา จึงยื่นข้อเสนอขอยืมตัวเขา 12 เดือน แต่ดีลนั้นก็ถูกปฏิเสธไปตามความคาดหมาย เนื่องจากก่อนจะย้ายมาอิตาลี โบนิเปอร์ติ สัญญาไว้กับลิเวอร์พูลว่า จะให้ รัช เล่นกับลิเวอร์พูลต่อไปเป็นเวลา 12 เดือนก่อนย้ายมายังตูรินโดยถาวร แต่ปรากฏว่าช่วงเวลาที่เหลืออยู่กับลิเวอร์พูลในฤดูกาลนั้น กลับเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ของเขากับสโมสร เนื่องจากคู่หูอย่าง ดัลกริช เองก็ฟอร์มตก ทำให้ช่วงนั้นลิเวอร์พูลพลาดแชมป์สำคัญไปหลายรายการ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ด้านผลงานส่วนตัวของ รัช ก็ยังยอดเยี่ยมเหมือนเดิม ซึ่งถ้าหากพูดถึงสิ่งที่น่าผิดหวังครั้งใหญ่ที่สุดในฤดูกาลนั้นก็คงต้องเป็น การถูกอาร์เซน่อลแย่งแชมป์ลีกคัพไปต่อหน้าต่อตาโดยฝีมือของ ชาร์ลี นิโคลัส กองหน้าของอาร์เซน่อลนั่นเอง

และนั่นก็เป็นเกมเดียวกับที่สถิติของลิเวอร์พูลถูกทำลายลงที่ 145 เกม จากที่เคยจารึกไว้ว่า…

 

 

หาก เอียน รัช ยิง หงส์แดงจะไม่มีวันแพ้…

ชีวิตค้าแข้งของ เอียน รัช กับยูเวนตุส ถ้ามองในมุมของนักฟุตบอลอาชีพ อันที่จริงก็ไม่ถือว่าเลวร้ายเท่าไรนัก ทันทีที่ รัช ถูกเปิดตัวกับยูเวนตุส ก็เป็นการสวนทางกับ มิเชล พลาตินี่ เจ้าของบัลลงดอร์ 3 สมัย และเสาหลักของทีม ที่ได้ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในวัย 31 ปี ซึ่งทำให้เห็นได้ชัดว่า วงการฟุตบอลของอิตาลีในยุค 80 นั้นกำลังจะเปลี่ยนไป โดยเฉพาะกับยูเวนตุส เพราะหลังจากที่ พลาตินี่ อำลาทีมไป ทำให้นักเตะที่เป็นเสาหลักของทีมเหลือเพียง ซีบี้ โบเนียค กับ มาร์โก้ ทาร์เดลลี่ เท่านั้น ส่วน อันโตนีโอ คาบรินี่ กับ เกตาโน่ สคิเรีย 2 นักเตะที่เคยได้แชมป์ฟุตบอลโลก ก็อยู่ในช่วงบั้นปลายของนักเตะอาชีพแล้ว

พลาตินี่ เคยพูดถึง รัช ว่า “เขาย้ายมาผิดที่ผิดเวลา เขาควรย้ายมาหลังจากนี้อีก 2-3 ปี ในช่วงที่ยูเวนตุสปรับเปลี่ยนโครงสร้างเรียบร้อยแล้ว เพราะถ้าเป็นตอนนี้ ยูเวนตุส จะไม่ประสบความสำเร็จในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ภายในทีมอย่างแน่นอน”

 

ช่วงพรีซีซั่น เอียน รัช ยิงได้ 10 ประตู จาก 6 เกม แต่หลังจากนั้นเมื่อม่านเปิดเข้าสู่ช่วงต้นฤดูกาล เขาต้องประสบกับหายนะอย่างเห็นได้ชัดในเกมแรกกับเลชเช่ ศึกอิตาเลี่ยน คัพ เพราะเขาได้รับบาดเจ็บ จนทำให้ต้องร้างสนามไปถึง 5 สัปดาห์ และในช่วงเวลานั้นเอง ก็พบว่า รัช เป็นโรคโฮมซิค และมีปัญหาเรื่องภาษา ซึ่งมันทำให้เขาสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมได้ยาก โดยทั้งหมดไม่ใช่แค่เป็นปัญหากับตัวเขาเอง แต่ถือเป็นปัญหาต่อทัพม้าลายอีกด้วย โดย ริโน่ มาเคซี่ ผู้จัดการทีมชุดนั้นไม่ได้คำนึงถึงปัญหาของ รัช ในด้านนี้มาก่อนเลย

ต่อมาเมื่อเขาหายเจ็บกลับมาลงสนามอีกครั้ง รัช ได้สัมผัสบอลเพียง 13 ครั้งเท่านั้นในเกมที่ทีมพ่ายให้กับเอ็มโปลีไป 1-0 ด้วยสภาพอากาศที่สูงถึง 30 องศา อย่างไรก็ตาม 2 สัปดาห์ต่อมา เขาก็ปลดล๊อคยิงไปถึง 2 ลูก ช่วยให้ยูเวนตุสเอาชนะเปสคาร่าไปได้ถึง 3-1 การเล่นของ รัช โดยไร้นักเตะตำแหน่งหมายเลข 10 อย่าง ดัลกริช และ พลาตินี่ ทำให้เขาต้องปรับตัวอย่างยากลำบากภายใต้ระบบทีมที่เน้นเกมรับของ มาร์เคซี่ บางครั้ง รัช ถูกวางให้ลงไปเล่นเป็นกองกลางเพื่อทดลองแผนการเล่นใหม่ๆ และนั่นก็ทำให้ชื่อเสียงของเขาต้องมาพังทลายลงอันเนื่องมาจากความผิดพลาดในการเล่นของเหล่ากองหลัง ด้วยแผนการเล่นที่พึ่งพากองหลังมากเกินไป ซึ่งนั่นทำให้เห็นได้ชัดว่า แผนการเล่นของชาวอิตาเลี่ยนไม่เหมาะกับเขา โดยหลังจากนั้น เทรเวอร์ ฟรานซิส และ ลูเธอร์ บลิสเซ็ตต์ ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน

ส่วนเรื่องนอกสนาม เขาก็พบเจอกับเรื่องยากลำบากเช่นเดียวกัน อย่างแรกเลยก็คือ เขาต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ โดยเฉพาะเรื่องภาษา และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขากลายเป็นเพื่อนสนิทของ ไมเคิล เลาดรู๊ป ส่วนเรื่องการฝึกซ้อม มีความแตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับที่เมลวู้ด ที่ยูเวนตุส พวกเขามีการซ้อมแบบ 5-5 ที่เข้มข้นและหนักหน่วง มีรายละเอียดในการซ้อมที่ซับซ้อนกว่า ตัวอย่างเช่น การวิ่งแบบแข่งความเร็ว และระยะไกล

 

กลับมาเรื่องในสนาม ยูเวนตุสตกรอบยูฟ่าคัพอย่างรวดเร็ว โดยทีมเล็กๆ อย่างพานาธิไนกอส จากผลงานสุดแย่นั้นทำให้เก้าอี้ของ มาร์เคซี่ ได้รับความกดดันอย่างมาก และเมื่อฤดูกาลสิ้นสุดลง ยูเวนตุสก็ต้องเจ็บกับผลงานอันย่ำแย่ของตัวเองซึ่งมันไม่เคยย่ำแย่เท่านี้มาก่อนนับตั้งแต่ฤดูกาล 1956-57 โดยผลงานในประเทศพวกเขาจบในอันดับที่ 6 และตกรอบอิตาเลี่ยน คัพ รอบ 32 ทีม ซึ่งนั่นทำให้ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะช่วยให้ มาร์เคซี่ อยู่ต่อกับทีมไปได้อีก และคนที่เข้ามาคุมแทนก็คือ ดิโน ซอฟฟ์ ตำนานผู้รักษาประตูของสโมส

 

หากพูดถึงในเรื่องสถิติ รัช ก็ถือว่าไม่ได้แย่สำหรับฤดูกาลแรกในอิตาลี จากการยิงประตูได้ถึง 14 ประตูรวมทุกรายการ และ 7 ประตูในนั้นมาจากการลงเล่นในเกมลีก 29 เกม อาจดูไม่โดดเด่นเท่าไหร่ แต่ถ้าเทียบกับนักเตะซุปเปอร์สตาร์ที่มาจากต่างแดนรายอื่น ถือว่าเขาทำได้น่าประทับใจทีเดียว ดิเอโก้ มาราโดน่า นักเตะที่เก่งที่สุดในโลกตอนนั้นยังยิงได้ 14 ประตูของฤดูกาลแรกที่อิตาลีเช่นเดียวกัน ส่วน มาร์โก้ แวน บาสเท่น มีเพียงแค่ 8 ประตูกับฤดูกาลแรก

ช่วงฤดูร้อนปี 1988 รัช เริ่มจะปรับตัวเข้ากับยูเวนตุสได้ด้วยตัวเอง ภายใต้การคุมทัพของโค้ชอย่าง ดิโน่ ซอฟฟ์ เขาได้ลงซ้อมในรูปแบบใหม่ช่วงพรีซี่ซั่น ซอฟฟ์ มีการจัดการกับทีมอย่างตรงไปตรงมา ทำให้ทีมมีฟอร์มสม่ำเสมอ แถมยังมีการแยกหน้าที่ของโค้ชแต่ละคนอย่างชัดเจนมากขึ้น และนั่นก็คือเบื้องหลังของการเปลี่ยนแปลงทีมที่เกิดขึ้นในตอนนั้น แต่การที่ทาง แอ็กเนลลี่ แฟมิลี่ ประธานสโมสรให้การสนับสนุนกับการบูรณะทีมขึ้นมาใหม่ กลับทำให้ รัช ตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากพวกเขาได้ทำการซื้อ รุย บาร์รอส และ อเล็กซานเดอร์ ซาวารอฟ ซึ่งเป็นผู้เล่นต่างชาติเข้ามาเสริมทีม ถึงแม้ว่าฟุตบอลเซเรีย อา จะมีการขยายโควต้านักเตะต่างชาติเพิ่ม แต่มันก็ถือว่าเป็นเรื่องยากลำบากในการแย่งโควต้าการลงสนามสำหรับเขาอยู่ดี และนั่นก็ทำให้ รัช ตัดสินใจที่ลาออกจากศึกการแข่งขันภายในทีม อย่างไรก็ตาม นักเตะฝีเท้าดีอย่าง รัช ยังคงมีที่ไปเสมอ โดยคนที่รับเขาเข้าอ้อมแขนก็คือ หนึ่งในผู้บริหารของทีมลิเวอร์พูลนั่นเอง

 

เมื่อ ปีเตอร์ โรบินสัน ได้ข่าวว่ายักษ์ใหญ่แห่งตูรินมีการเปิดตัวนักเตะอย่าง บาร์รอส และ ซาวารอฟ เขาก็รู้ทันทีว่าที่นั่นมีนักเตะต่างชาติเกินโควต้ามา 1 คน ซึ่ง 3 ใน 4 คนที่เหลือจะต้องไม่มีใครยอมออกจากทีมอย่างแน่นอน และทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ตระหนักว่า อดีตกองหน้าทีมของเขาอาจกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เขาจึงได้ต่อสายไปยัง ดัลกริช ในทันที เพื่อให้ ดัลกริช สอบถาม รัช ถึงความเป็นไปได้ในการย้ายกลับมา ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากในตอนนั้น ทางยูเวนตุสได้รับข้อเสนอในการดึงตัวกลับก่อนที่ตัวนักเตะเองจะมีข่าวกับทางบาเยิร์น มิวนิค ซะอีก และหลังจากที่ทางลิเวอร์พูลติดต่อไปเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ผลการเจรจาค่าตัวก็เป็นที่ยุติแก่ทั้ง 2 สโมสร

 

18 สิงหาคม 1988 สองวันก่อนที่จะเปิดฤดูกาลลีกสูงสุดของอังกฤษ ที่สนามแอนฟิลด์ได้มีการแถลงข่าวอย่างเร่งรีบ ในยุคที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ต และโซเชียลมีเดีย จึงทำให้ในตอนนั้นคนลือกันว่าพวกเขาคงจะมาแถลงข่าวเกี่ยวกับดีลของ แกรี่ พัลลิสเตอร์ ที่จะย้ายมาจาก มิดเดิ้ลสโบรห์ โดยข่าวลือนี้เกิดจากการที่ อลัน แฮนเซ่น อยู่ในช่วงปลายอาชีพนักฟุตบอล แล้วสโมสรก็น่าจะกำลังหาใครที่มาแทนที่เขา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้สื่อมวลชนที่มาทำข่าวถึงกับต้องประหลาดใจ เพราะสิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือ ขบวนต้อนรับการกลับมาของ เอียน รัช ผู้ยิ่งใหญ่ โดยก่อนที่ รัช จะเดินออกไป ได้มีการแถลงว่าค่าตัวในการซื้อเขากลับมาสูงถึง 2.8 ล้านปอนด์ หลังจากการแถลงข่าวแฟนบอลลิเวอร์พูลต่างปลื้มปิติยินดีในการกลับมาของเขา และแทบจะรอไม่ได้ที่จะได้เห็น 3 ประสานในแนวรุกอย่าง เอียน รัช, จอห์น อัลดริดจ์ และ ปีเตอร์ เบียดส์ลี่ย์ ว่าจะทำลายแผงหลังของคู่แข่งได้อย่างโหดเหี้ยมขนาดไหน

แต่บางคนก็ตั้งข้อสงสัยว่า การกลับมายังหงส์แดงของ รัช ในรอบนี้ อาจจะมีฟอร์มการเล่นที่ไม่ดีเท่ากับที่เคยทำไว้ในครั้งที่แล้ว ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นอาจพูดถูกต้อง อย่างไรก็ตาม การกลับมาในครั้งนี้ของ รัช หลายๆ อย่างมันเปลี่ยนไปอย่างมาก สโมสรกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายสายเลือด และกำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับการหานักเตะมาทดแทน ที่สำคัญทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เริ่มจะกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวมากขึ้น

แน่นอนว่า การที่ เอียน รัช ได้ไปผจญภัยในอิตาลี มันช่วยให้ตัวเขามีความสามารถรอบด้านมากขึ้น โดยในหลายปีต่อมา รัช ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อเกี่ยวกับตอนที่ออกไปค้าแข้งต่างถิ่นสั้นๆ ว่า

“มันเหมือนกับผมไปใช้ชีวิตในต่างประเทศเฉยๆ”

เขาเลือกที่จะปฏิเสธการให้ความเห็นเกี่ยวกับการไปเล่นในอิตาลี และได้ตัดไปเล่าเรื่องเกี่ยวกับการกลับไปร่วมงานกับ ดัลกริช ทันที

แล้วเหตุผลที่เขาตัดสินใจกลับมาคืออะไรล่ะ?

 

“เพราะลิเวอร์พูลต้องการให้ผมกลับไป และถ้าไม่ใช่ที่นี่ ผมก็ไม่อยากไปที่ไหนอีกแล้ว” 

แหล่งที่มา: https://thesefootballtimes.co/2015/02/24/ian-rush-twelve-months-in-a-foreign-country
แปล: Aekkung
เรียบเรียง: iReallyLikeFootball.com

About the author