ผ่านไหม!! นายใหญ่เลือดเบียร์แห่งถิ่นแอนฟิลด์ ที่จะอยู่ทำหน้าที่คุมทัพ ลิเวอร์พูล ครบ 2 ปีพอดีในวันที่ 8 ต.ค.นี้
Sat 07 Oct 2017, 22:38
เจาะผลงานของ เจอร์เก็น คล็อปป์
ย้อนไปเมื่อวันที่ 8 ต.ค. ปี 2015 เหล่า “เดอะ ค็อป” ได้เฮฮากันยกใหญ่เมื่อ ลิเวอร์พูล ทีมดังแดนผู้ดีประกาศดึงตัว เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือฟอร์มแรงแห่งยุค เข้ามารับหน้าที่คุมทีมในถิ่นแอนฟิลด์ แทนที่ของ เบรนแดน ร็อดจเจอร์ส ที่อำลาทีมไปด้วยสัญญายาว 3 ปีเต็ม จากวันนั้นถึงวันนี้ก็จะเป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้วที่ “เดอะ นอร์มอล วัน” ดำรงอยู่ในตำแหน่ง มีเรื่องราวอะไรให้น่าจดจำ และ พูดถึงบ้างนั้นไปดูกัน...
>>> ผลงานการคุมทีม
“หงส์แดง” ในยุคของ คล็อปป์ ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในทีมที่มีเกมรุกยอดเยี่ยมที่สุดในลีก สามารถทำเกมเคาท์เตอร์ แอทแทค ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มี ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ และ ซาดิโอ มาเน่ เป็นตัวหลักในการทำเกมบุก ซึ่งทีมทำผลงานในการพบกับกลุ่ม “บิ๊กทีม” ได้อย่างดีเยี่ยม (แมนฯยู, แมนฯซิตี้, เชลซี, อาร์เซน่อล และ สเปอร์ส) โดยแพ้ไปเพียงแค่ 2 เกมเท่านั้น จากการลงเล่นพบกับทีมในกลุ่มนี้ทั้งหมด 20 เกม
ซึ่งจากสถิติดังกล่าวนี้บ่งบอกสไตล์การทำทีมของ คล็อปป์ ที่สามารถรับมือกับทีมใหญ่ได้เป็นอย่างดี มีส่วนสำคัญให้ฤดูกาลที่แล้วพวกเขาเก็บแต้มได้มากพอตีตั๋วกลับมาลุยศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อีกครั้ง รวมทั้งผลงานยิงไปได้ทั้งหมด 78 ประตูในลีก ยังถือเป็นสถิติดียิงได้มากสุดเป็นอันดับ 2 ของพวกเขาในศึกพรีเมียร์ลีกด้วย น่าเสียดายก็เพียงแค่ว่ามันยังไม่ดีพอที่จะทำให้พวกเขามีโอกาสลุ้นแชมป์จนถึงช่วงท้ายซีซั่นได้
>>> ปัญหาที่ต้องเจอ
เป็นที่ทราบกันดี (และโดนล้ออยู่เป็นประจำ) ว่าพวกเขามักทำผลงานได้ไม่ค่อยดีนัก ยามเจอกับคู่แข่งที่มีศักดินาด้อยกว่า โดยในฤดูกาลปัจจุบันนี้ทีมก็เพิ่งเสียแต้มแบบง่ายๆไปให้กับทั้ง วัตฟอร์ด, เบิร์นลีย์ และ นิวคาสเซิ่ล มาแล้วด้วย แล้วเมื่อหากนับตั้งแต่ คลอปป์ เข้ามารับงานที่นี้ ทีมก็มีสถิติเก็บชัยเพียงแค่ 53% เท่านั้นในการลงสนามพบกับทีมคู่แข่งนอกเหนือจากกลุ่ม “ท็อปซิกซ์” ของลีก
อีกปัญหาที่ทีมต้องเจอต่อเนื่องกันมาก็คือเรื่องของการผลิตสกอร์ เพราะหลังจากเสีย หลุยซ์ ซัวเรซ ที่ซัดได้ 31 ประตูในปีสุดท้ายก่อนย้ายซบ บาร์เซโลน่าไป ดาวซัลโวของทีมต่อจากนั้นอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด (9 ประตู, 2014-15), โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ (10 ประตู, 2015-16) และ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ กับ ซาดิโอมาเน่ (13 ประตูเท่ากัน, 2016-17) ก็ยังดูไม่เปรี้ยงปร้างเทียบกับหัวหอกทีมชาติอุรุกวัยได้เลย
>>> ความสำเร็จ...อยู่แค่เอื้อม
ลิเวอร์พูล จบฤดูกาล 2015-16 ในอันดับ 8 ของตาราง ด้วยการมีแต้มรวมน้อยที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 2011-12 (60 แต้ม) แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือพวกเขาต้องมาพลาดมีถ้วยแชมป์ติดมือไปแบบน่าเสียดาย เมื่อมาเสียท่าแพ้ในเกมรอบชิงชนะเลิศ 2 รายการติดๆกัน เริ่มตั้งแต่การแพ้จุดโทษให้กับ แมนฯซิตี้ ในเกมถ้วยลีกคัพ ต่อด้วยการเสียท่าให้กับ เซบีญ่า ทีมแกร่งจากสเปน 1-3 ในบอลถ้วยยุโรป ยูโรปาลีก
ทำให้นายใหญ่เลือดเบียร์ยังคงต้องเฝ้ารอเหรียญรางวัลแรกกับทีมต่อไป หลังความสำเร็จหนล่าสุดของพวกเขาต้องย้อนไปถึงเมื่อปี 2012 กับถ้วยแชมป์ลีกคัพเลยทีเดียว ขณะที่ในฤดูกาลนี้ทีมได้มีความท้าทายเพิ่มมากขึ้นกับการได้ลงลุ้นล่าถ้วย “ยูซีแอล” ซึ่งนั้นก็หมายความว่าตัวของ คล็อปป์ เองก็จะยิ่งมีความกดดันทวีคูณตามไปด้วย เพราะยิ่งทีมมือเปล่านานเท่าไหร่ เก้าอี้ของเขาก็จะยิ่งร้อนระอุขึ้นนั้นเอง
>>> เป้าหมายต่อไป
ภารกิจแรกที่ คล็อป ต้องเจอหลังผ่านการทำงานคุมทีมมาครบ 2 ปี ก็คือการพาลูกทีมลงดวลแข้งกับทีมฮอตอย่าง แมนฯยูไนเต็ด ในวันเสาร์ที่ 14 ต.ค.นี้ ซึ่งการดวลกันระหว่างเขากับ โชเซ่ มูรินโญ่ ในฤดูกาลที่แล้วจบลงด้วยการเสมอทั้งสองเกม แต่เกมนัดต่อไปนี้ “หงส์แดง” ต้องพยายามเน้นที่จะเก็บชัยให้ได้ เพื่อยกระดับทีมกลับไปอยู่ในกลุ่มท็อปโฟร์ และ เรียกความมั่นใจของเหล่านักเตะให้กลับมาอีกครั้ง
ขณะที่ในระยะยาว คล็อปป์ มีภารกิจต้องพยายามควบคุมจัดทัพของตัวเองให้มีความสมดุลมากที่สุด เพราะนอกจากต้องพยายามรั้งแข้งสำคัญอย่าง คูตินโญ่, มาเน่, ฟีร์มีโน่ และ ซาลาห์ ให้อยู่กับทีมต่อไปแล้ว ก็ต้องจัดการรองรับแข้งใหม่ที่จะเข้าสู่ทีมอย่าง นาบี เกอิต้า มิดฟิลด์ของ แอร์เบ ไลป์ซิก ให้มีตำแหน่งที่เหมาสมสำหรับการลงเล่นช่วยทีมด้วย
ส่วนตลาดซื้อขายนักเตะช่วงเดือนมกราคมของทีมก็น่าจับตามองไม่แพ้กัน เมื่อทีมมีโอกาสแก้ปัญหาในแนวรับที่นับวันๆยิ่งเริ่มก่อนตัวเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นทุกที ด้วยการหวนไปทาบ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กองหลังของเซาธ์แธมป์ตัน มาร่วมทีมให้ได้สำเร็จ...ซึ่งหากทุกอย่างเข้าทางเป็นไปตามที่ คล็อปป์ วางแผนไว้ ไม่แน่ว่าปีที่ 3 ของเขากับสโมสร อาจจะมีโทรฟี่แชมป์ติดมือให้แฟนบอลได้ชื่นอกชื่นใจบ้างก็ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก : SKYSPORT
ย้อนไปเมื่อวันที่ 8 ต.ค. ปี 2015 เหล่า “เดอะ ค็อป” ได้เฮฮากันยกใหญ่เมื่อ ลิเวอร์พูล ทีมดังแดนผู้ดีประกาศดึงตัว เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือฟอร์มแรงแห่งยุค เข้ามารับหน้าที่คุมทีมในถิ่นแอนฟิลด์ แทนที่ของ เบรนแดน ร็อดจเจอร์ส ที่อำลาทีมไปด้วยสัญญายาว 3 ปีเต็ม จากวันนั้นถึงวันนี้ก็จะเป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้วที่ “เดอะ นอร์มอล วัน” ดำรงอยู่ในตำแหน่ง มีเรื่องราวอะไรให้น่าจดจำ และ พูดถึงบ้างนั้นไปดูกัน...
>>> ผลงานการคุมทีม
“หงส์แดง” ในยุคของ คล็อปป์ ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในทีมที่มีเกมรุกยอดเยี่ยมที่สุดในลีก สามารถทำเกมเคาท์เตอร์ แอทแทค ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มี ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ และ ซาดิโอ มาเน่ เป็นตัวหลักในการทำเกมบุก ซึ่งทีมทำผลงานในการพบกับกลุ่ม “บิ๊กทีม” ได้อย่างดีเยี่ยม (แมนฯยู, แมนฯซิตี้, เชลซี, อาร์เซน่อล และ สเปอร์ส) โดยแพ้ไปเพียงแค่ 2 เกมเท่านั้น จากการลงเล่นพบกับทีมในกลุ่มนี้ทั้งหมด 20 เกม
ซึ่งจากสถิติดังกล่าวนี้บ่งบอกสไตล์การทำทีมของ คล็อปป์ ที่สามารถรับมือกับทีมใหญ่ได้เป็นอย่างดี มีส่วนสำคัญให้ฤดูกาลที่แล้วพวกเขาเก็บแต้มได้มากพอตีตั๋วกลับมาลุยศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อีกครั้ง รวมทั้งผลงานยิงไปได้ทั้งหมด 78 ประตูในลีก ยังถือเป็นสถิติดียิงได้มากสุดเป็นอันดับ 2 ของพวกเขาในศึกพรีเมียร์ลีกด้วย น่าเสียดายก็เพียงแค่ว่ามันยังไม่ดีพอที่จะทำให้พวกเขามีโอกาสลุ้นแชมป์จนถึงช่วงท้ายซีซั่นได้
>>> ปัญหาที่ต้องเจอ
เป็นที่ทราบกันดี (และโดนล้ออยู่เป็นประจำ) ว่าพวกเขามักทำผลงานได้ไม่ค่อยดีนัก ยามเจอกับคู่แข่งที่มีศักดินาด้อยกว่า โดยในฤดูกาลปัจจุบันนี้ทีมก็เพิ่งเสียแต้มแบบง่ายๆไปให้กับทั้ง วัตฟอร์ด, เบิร์นลีย์ และ นิวคาสเซิ่ล มาแล้วด้วย แล้วเมื่อหากนับตั้งแต่ คลอปป์ เข้ามารับงานที่นี้ ทีมก็มีสถิติเก็บชัยเพียงแค่ 53% เท่านั้นในการลงสนามพบกับทีมคู่แข่งนอกเหนือจากกลุ่ม “ท็อปซิกซ์” ของลีก
อีกปัญหาที่ทีมต้องเจอต่อเนื่องกันมาก็คือเรื่องของการผลิตสกอร์ เพราะหลังจากเสีย หลุยซ์ ซัวเรซ ที่ซัดได้ 31 ประตูในปีสุดท้ายก่อนย้ายซบ บาร์เซโลน่าไป ดาวซัลโวของทีมต่อจากนั้นอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด (9 ประตู, 2014-15), โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ (10 ประตู, 2015-16) และ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ กับ ซาดิโอมาเน่ (13 ประตูเท่ากัน, 2016-17) ก็ยังดูไม่เปรี้ยงปร้างเทียบกับหัวหอกทีมชาติอุรุกวัยได้เลย
>>> ความสำเร็จ...อยู่แค่เอื้อม
ลิเวอร์พูล จบฤดูกาล 2015-16 ในอันดับ 8 ของตาราง ด้วยการมีแต้มรวมน้อยที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 2011-12 (60 แต้ม) แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือพวกเขาต้องมาพลาดมีถ้วยแชมป์ติดมือไปแบบน่าเสียดาย เมื่อมาเสียท่าแพ้ในเกมรอบชิงชนะเลิศ 2 รายการติดๆกัน เริ่มตั้งแต่การแพ้จุดโทษให้กับ แมนฯซิตี้ ในเกมถ้วยลีกคัพ ต่อด้วยการเสียท่าให้กับ เซบีญ่า ทีมแกร่งจากสเปน 1-3 ในบอลถ้วยยุโรป ยูโรปาลีก
ทำให้นายใหญ่เลือดเบียร์ยังคงต้องเฝ้ารอเหรียญรางวัลแรกกับทีมต่อไป หลังความสำเร็จหนล่าสุดของพวกเขาต้องย้อนไปถึงเมื่อปี 2012 กับถ้วยแชมป์ลีกคัพเลยทีเดียว ขณะที่ในฤดูกาลนี้ทีมได้มีความท้าทายเพิ่มมากขึ้นกับการได้ลงลุ้นล่าถ้วย “ยูซีแอล” ซึ่งนั้นก็หมายความว่าตัวของ คล็อปป์ เองก็จะยิ่งมีความกดดันทวีคูณตามไปด้วย เพราะยิ่งทีมมือเปล่านานเท่าไหร่ เก้าอี้ของเขาก็จะยิ่งร้อนระอุขึ้นนั้นเอง
>>> เป้าหมายต่อไป
ภารกิจแรกที่ คล็อป ต้องเจอหลังผ่านการทำงานคุมทีมมาครบ 2 ปี ก็คือการพาลูกทีมลงดวลแข้งกับทีมฮอตอย่าง แมนฯยูไนเต็ด ในวันเสาร์ที่ 14 ต.ค.นี้ ซึ่งการดวลกันระหว่างเขากับ โชเซ่ มูรินโญ่ ในฤดูกาลที่แล้วจบลงด้วยการเสมอทั้งสองเกม แต่เกมนัดต่อไปนี้ “หงส์แดง” ต้องพยายามเน้นที่จะเก็บชัยให้ได้ เพื่อยกระดับทีมกลับไปอยู่ในกลุ่มท็อปโฟร์ และ เรียกความมั่นใจของเหล่านักเตะให้กลับมาอีกครั้ง
ขณะที่ในระยะยาว คล็อปป์ มีภารกิจต้องพยายามควบคุมจัดทัพของตัวเองให้มีความสมดุลมากที่สุด เพราะนอกจากต้องพยายามรั้งแข้งสำคัญอย่าง คูตินโญ่, มาเน่, ฟีร์มีโน่ และ ซาลาห์ ให้อยู่กับทีมต่อไปแล้ว ก็ต้องจัดการรองรับแข้งใหม่ที่จะเข้าสู่ทีมอย่าง นาบี เกอิต้า มิดฟิลด์ของ แอร์เบ ไลป์ซิก ให้มีตำแหน่งที่เหมาสมสำหรับการลงเล่นช่วยทีมด้วย
ส่วนตลาดซื้อขายนักเตะช่วงเดือนมกราคมของทีมก็น่าจับตามองไม่แพ้กัน เมื่อทีมมีโอกาสแก้ปัญหาในแนวรับที่นับวันๆยิ่งเริ่มก่อนตัวเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นทุกที ด้วยการหวนไปทาบ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กองหลังของเซาธ์แธมป์ตัน มาร่วมทีมให้ได้สำเร็จ...ซึ่งหากทุกอย่างเข้าทางเป็นไปตามที่ คล็อปป์ วางแผนไว้ ไม่แน่ว่าปีที่ 3 ของเขากับสโมสร อาจจะมีโทรฟี่แชมป์ติดมือให้แฟนบอลได้ชื่นอกชื่นใจบ้างก็ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก : SKYSPORT
Re: ผ่านไหม!! นายใหญ่เลือดเบียร์แห่งถิ่นแอนฟิลด์ ที่จะอยู่ทำหน้าที่คุมทัพ ลิเวอร์พูล ครบ 2 ปีพอดีในวันที่ 8 ต.ค.นี้
Sat 14 Oct 2017, 11:34
ผ่านแต่หากสโมสรอยากได้แชป์จริง ต้องทุ่มให้มากว่านี้
Sent from Topic'it App
Sent from Topic'it App
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ