ลิเวอร์พูล vs แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เกมแห่งการเปลี่ยนแปลงยุคสมัย
Sat 18 Jan 2020, 20:49
[*]บรรยากาศของศึกแดงเดือดที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์นี้ ทำให้ผู้เขียนอดนึกถึงเหตุการณ์นัดสุดท้ายของฤดูกาลปี 1992 ไม่ได้ ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายของดิวิชัน (ก่อนเปลี่ยนเป็นพรีเมียร์ลีกในปัจจุบัน) โดยเรื่องราวในวันนั้นจบลงด้วยความชอกช้ำของทัพปีศาจแดง หลังพ่ายให้กับลิเวอร์พูล 2-0 และชวดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย
[*]นับแต่นั้นมา จากปี 1992 สู่ปี 2020 ไม่ว่าสถานการณ์ลุ้นแชมป์ลีกจะมีมือที่ 3 4 หรือ 5 เข้ามาเกี่ยวพัน แต่การเผชิญหน้าระหว่างลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็กลายเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีของทั้งสองทีมเสมอ
ถึงระยะทางระหว่าง 2 เมือง จะห่างกันเพียง30 ไมล์ และดูเหมือนไม่ไกล แต่ระยะห่าง 27 คะแนน ระหว่างลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดบนอันดับตารางคะแนนในเวลานี้ กลับทำให้รู้สึกว่า สองทีมนี้ห่างกันไกล ไกลกันจนแทบไม่เหลือความรู้สึกอยากแข่งขันกันเหมือนเก่า
จากผลงานที่เห็นตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ภายใต้การนำของ เจอร์เกน คล็อปป์ กำลังเข้าใกล้สิ่งที่พวกเขาเฝ้ารอคอยมายาวนานถึง 30 ปี โดยที่หากไม่มีอะไรผิดพลาดในระดับ ‘หายนะ’ เกิดขึ้น จะได้เห็นทีม‘หงส์แดง’ ชูถ้วยแชมป์ลีกอย่างแน่นอน
ในขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดยังอยู่ระหว่างการหาหนทางที่จะกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง พวกเขาสูญเสียตัวตน และหลงทางนับตั้งแต่สิ้นยุคของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอดผู้จัดการทีม เอกบุรุษผู้เป็นหนึ่งไม่มีสองเมื่อ 7 ปีที่แล้ว
สถานการณ์ในเวลานี้ยังชวนให้หวนกลับไปคิดถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเมื่อปี 1992 หรือ28 ปีที่แล้ว
ฤดูกาล 1991/92 เป็นฤดูกาลสุดท้ายของดิวิชัน 1 เป็นฤดูกาลที่เป็นหมุดหมายสำคัญของวงการฟุตบอลอังกฤษ เพราะพวกเขากำลังเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าตัวเองครั้งใหญ่ ด้วยการก่อตั้งพรีเมียร์ลีก (พรีเมียร์ชิป) ขึ้นมา
คำถามที่หลายคนอยากรู้คือ ใครจะได้แชมป์ดิวิชัน 1 เป็นสโมสรสุดท้าย
ในเวลานั้น ‘ปีศาจแดง’ กำลังเริ่มต้นยุคสมัยของความยิ่งใหญ่ ชะตาชีวิตของพวกเขาพลิกผันนับตั้งแต่คว้าแชมป์เอฟเอคัพมาครองได้ในปี 1990 และนับจากนั้นทีมของ ‘เฟอร์กี้’ ก็เดินหน้าอย่างรวดเร็ว พวกเขายกระดับตัวเองกลายเป็นสโมสรที่ได้ลุ้นแชมป์อย่างเต็มตัว
คู่แข่งในเวลานั้นของพวกเขาคือทีม ‘ยูงทอง’ ลีดส์ ยูไนเต็ด คู่ปรับจากแคว้นแลงคาเชียร์ที่ชิงชังกันไม่แพ้ทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์ เวลานั้นพวกเขาเป็นสโมสรที่ยอดเยี่ยม อยู่ภายใต้การนำของสุดยอดผู้จัดการทีมอย่าง ‘วิลโก้’โฮเวิร์ด วิลกินสัน
ที่สำคัญคือ พวกเขาได้สตาร์ใหม่จากฝรั่งเศสเอริก คันโตนา ที่ย้ายมาจากนีมส์ ในเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนเข้าโค้งสุดท้ายของฤดูกาล และกลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของชาว The Whites อย่างรวดเร็ว
ส่วนลิเวอร์พูล พวกเขาอยู่ระหว่างการก่อร่างสร้างตัวใหม่ หลังจากที่ เคนนี ดัลกลิช ตัดสินใจอำลาทีมอย่างกะทันหันในฤดูกาลก่อนหน้านั้น หลังจากนั้น รอนนี มอแรน หนึ่งในคีย์แมนยุคบูตรูมได้ประคับประคอง ก่อนจะส่งไม้ต่อให้ แกรมม์ ซูเนสส์ อดีตกองกลางกัปตันทีมซึ่งฤดูกาล 1991/92 คือการคุมทีมแบบเต็มตัวฤดูกาลแรกของ ‘ซูอี้’
มหาอำนาจของวงการลูกหนังอังกฤษตั้งใจและมั่นใจว่า พวกเขาจะกลับมาทวงแชมป์ลีกคืนได้อีกครั้ง หลังจากที่ปล่อยให้อาร์เซนอลคว้าแชมป์ไปครองได้
แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้เป็นแบบนั้น ผลงานของพวกเขาย่ำแย่ ทีมเต็มไปด้วยปัญหา การตัดสินใจปล่อยผู้เล่นประสบการณ์สูงหลายคนทั้ง เดวิด สปีดี, แกรี กิลเลสพี และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ ทิ้งรูโหว่เอาไว้ให้ทีมอย่างมาก ขณะที่การขาย สตีฟ สตอนตันแบ็กซ้ายอนาคตไกล ให้กับแอสตัน วิลลาก่อนฤดูกาลจะเริ่มต้น 10 วัน ก็เป็นการตัดสินใจที่ยากจะเข้าใจ และสุดท้ายฝีมือในการคุมทีมของซูเนสส์เอง ก็มีคำตอบที่ชัดเจนในตัวเอง และทำให้ทุกคนรู้ว่า ไม่ใช่ยอดนักเตะทุกคนที่จะสามารถก้าวมาเป็นยอดผู้จัดการทีมได้
ฤดูกาลเดินทางมาถึงเดือนเมษายน โค้งสุดท้ายของฤดูกาล สถานการณ์บนหัวตารางเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและลีดส์ ยูไนเต็ดที่ขับเคี่ยวกันมาอย่างเร่าร้อน
โดยเฉพาะฝั่งทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์ พวกเขาห่างหายจากความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มายาวนานถึง 25 ปี และหมายมั่นปั้นมืออย่างมากกว่าจะคว้าแชมป์มาครองให้จงได้
แต่ความหวังและความตั้งใจทุกอย่างมาพังทลายเอาในการมาเยือนแอนฟิลด์ในเกมนัดรองสุดท้ายของฤดูกาล
วันนั้นเป็นการเล่นในบ้านนัดสุดท้ายของลิเวอร์พูล มีแฟนบอลเดอะ ค็อป (และทีมเยือนนิดหน่อย) เข้ามาในสนามแอนฟิลด์ถึง38,669 คน
ลิเวอร์พูล วันนั้นนำมาโดย เอียน รัช, จอห์นบาร์นส, เรย์ เฮาจ์ตัน และ มาร์ก ไรต์ ขณะที่ยูไนเต็ดมี ไบรอัน ร็อบสัน, พอล อินซ์, ไบรอันแม็คแคลร์, ‘สปาร์กี’ มาร์ก ฮิวจ์ส และไอ้หนุ่มหน้ามน ไรอัน กิกส์
แค่ 12 นาที รัช เพชฌฆาตหน้าติดหนวด ก็ยิงประตูขึ้นนำให้ลิเวอร์พูลก่อนที่ มาร์ก วอลเตอร์ส จะยิงหนีห่างเป็น 2-0 ก่อนหมดเวลาแค่3 นาที
ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายชนะในเกมวันนั้น และพวกเขาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ยูไนเต็ดสร้างมาตลอดฤดูกาล
หลังเกมจบลง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้ยินเสียงตะโกน “F*** You” ลอยมาจากห้องแต่งตัวของฝั่งเจ้าบ้าน ที่สะใจกับการขัดขวางไม่ให้คู่แข่งไปถึงฝันได้สำเร็จ ราวกับพวกเขาได้เป็นแชมป์เสียเอง
หนุ่มน้อยกิกส์ เจอเหตุการณ์ที่เลวร้ายกว่า เมื่อแฟนบอลลิเวอร์พูลคนหนึ่งขอลายเซ็นจากเขา ปีกดาวรุ่งชาวเวลส์ก็เซ็นให้ด้วยความยินดี แต่สุดท้ายเดอะ ค็อปใจร้ายดังกล่าว กลับฉีกกระดาษที่มีลายเซ็นต่อหน้าต่อตาของเขา
เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นหนึ่งในแรงขับสำคัญที่ทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นสุดยอดทีมตลอดกาลของอังกฤษ และความแค้นระหว่าง 2 สโมสร ก็ลุกลามขึ้น จนคนรุ่นนั้นหลายคนลืมไปแล้วว่า ครั้งหนึ่ง 2 ทีมนี้ สนิทสนมกันแค่ไหน ขณะที่แฟนบอลรุ่นต่อๆ มาก็ได้รับการปลูกฝังให้เกลียดชังซึ่งกันและกันโดยไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลประกอบ
ในฤดูกาลต่อมา ก่อนฤดูกาลจะเริ่มต้นขึ้นเฟอร์กี้แปะภาพหนึ่งเอาไว้ในห้องแต่งตัว ภาพที่เขาเรียกมันว่า Dante’s Inferno หรือขุมนรกของดันเต
ที่จริงแล้วภาพดังกล่าวไม่ใช่ภาพของดันเตแต่เป็นภาพของนักเตะบนม้านั่งสำรอง ในเกมที่แอนฟิลด์ ที่แสดงสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าวถึงขีดสุดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสนาม
เฟอร์กี้บอกกับทุกคนว่า “ทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นอีก”
สุดท้ายพวกเขาคว้าแชมป์ลีกมาครองได้สำเร็จในฤดูกาลต่อมา และเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกทีมแรกในประวัติศาสตร์ ก่อนที่เฟอร์กี้จะทำในสิ่งที่เขาปฏิญาณเอาไว้คือ การ Knock Liverpool Off Their Perch หรือการเขี่ยลิเวอร์พูลให้ตกลงมาจากจุดสูงสุดที่พวกเขาเคยอยู่ (ในความหมายคือ การเป็นทีมที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดมากที่สุด 18 สมัย)
สำหรับเกมที่แอนฟิลด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคมนี้ แม้จะเป็นคนละเรื่องคนละเหตุการณ์ คนละยุค แต่ก็มีความรู้สึกชวนให้คิดว่า คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 28 ปีที่แล้ว ในบางแง่บางมุม
ลิเวอร์พูลวันนี้ก็เหมือนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในวันนั้น (และพวกเขาก็เจ็บมาแล้วในฤดูกาลก่อน ที่เดอะ ค็อปหลายคนยังติดใจว่า หากวันนั้นพวกเขากล้าจะบุกถล่มยูไนเต็ดมากกว่านี้…)
เช่นเดียวกับที่ยูไนเต็ดก็เหมือนลิเวอร์พูลในวันนั้น
ทุกอย่างมันวนกลับมาที่เก่า แค่ต่างวันเวลา
จริงอยู่ที่ผลงานของลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้นั้นเข้าขั้นมหัศจรรย์ และเป็นเรื่องยากที่จะมีการทำซ้ำอีกในอนาคต แต่ทีมเดียวที่พวกเขาไม่สามารถเอาชนะได้ก็คือ คู่ปรับแห่งถนนสายM62 ที่อยู่ห่างกันออกไปแค่ 1 ชั่วโมงรถยนต์
สำหรับยูไนเต็ด ความสำเร็จเล็กๆ จากเกมเมื่อเดือนตุลาคม เป็นน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจในช่วงเวลาที่ยากลำบากตลอดมา และเมื่อถึงคราวได้กลับมาพบกันอีกครั้ง โดยคิดถึงการที่ลิเวอร์พูลเอาชนะได้ทุกทีม ยกเว้นพวกเขามันยิ่งกระตุ้นความรู้สึกในการลงสนามที่แอนฟิลด์ยิ่งขึ้น
บนเส้นทางของการลุ้นแชมป์ แม้มันอาจจะมีโอกาสที่จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เป็นหายนะของคู่แค้นตลอดกาล (ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นได้ พวกเขาก็ยินดี) แต่อย่างน้อยที่สุด หากมันจะเป็นปีแห่งความสมหวังของลิเวอร์พูลจริงๆพวกเขาก็ขอยัดเยียดความรู้สึกผิดหวังให้คู่แค้นบ้าง
เหมือนเสียงตะโกนแจกฟักหลังเกมที่แอนฟิลด์ในยุคนั้น เหมือนที่เดอะ ค็อปฉีกลายเซ็นของกิกส์ในวันนั้น
ในทางตรงกันข้าม ลิเวอร์พูลก็ต้องการที่จะทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบด้วยการถล่มคู่แข่งและคู่แค้นให้จมดิน ไม่ใช่เพียงเพื่อกรุยทางสู่แชมป์ไปอีกขั้น แต่ยังเพื่อจับยูไนเต็ดมัดมือมัดเท้า เอาเทปปิดปาก แล้วโยนลงหลุมขุดดินกลบฝังให้ลึกที่สุดด้วย
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่แอนฟิลด์ในคืนวันอาทิตย์นี้
ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงความจริงได้ว่า ยุคสมัยระหว่าง 2 คู่ปรับผู้ยิ่งใหญ่ ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วตามวัฏจักรของโลกที่ไม่มีอะไรอยู่ค้ำฟ้า
ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม!
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
ลิเวอร์พูลไม่แพ้ในพรีเมียร์ลีกติดต่อกันมา 38 นัด และไม่แพ้ในบ้านติดต่อกันมาตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2017 หรือคิดเป็นจำนวน 36 นัด
[*]แต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็เคยเป็นทีมที่ทำลายสถิติไร้พ่ายของอาร์เซนอล ด้วยการหยุดสถิติของ ‘ปืนใหญ่’ เอาไว้ที่ 49 นัด เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2004
[*]การถูกหยุดสถิติไร้พ่ายของอาร์เซนอล ทำให้ทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ ทำแต้มหล่นถึง 9 แต้ม จาก 15 นัด หลังจากนั้น
[*]ลิเวอร์พูลจะได้ ฟาบินโญ และ โจเอล มาทิป ฟิตกลับมาลงสนามอีกครั้ง ขณะที่ยูไนเต็ดต้องลุ้นว่า มาร์คัส แรชฟอร์ด ดาวยิงแมนคูเนียน จะหายทันลงสนามหรือไม่ หลังได้รับบาดเจ็บในเกมเอฟเอคัพ
Cr:The Standard
- เจ้าเก่าSirMosalaเหรียญสำหรับแฟนพันธุแท้โมซาลา
- Post : 94
Like : 11
Points : 11
Join : 10/11/2017
Power :
Re: ลิเวอร์พูล vs แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เกมแห่งการเปลี่ยนแปลงยุคสมัย
Sun 02 Feb 2020, 23:23
2-0 ไม่พูดมากละ เจ็บคอ แดงเดือด
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ