"เจอร์ราร์ด" การตัดสินใจ "แห่งชีวิต"
Sat 03 Jan 2015, 16:04
ไม่ผิดนักหากจะบอกว่า ภาพของสตีเฟ่น เจอร์ราร์ด ในชุดเสื้อสีอื่นที่นอกเหนือจากสีแดงเพลิงของลิเวอร์พูล เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือจินตนาการของเหล่า Kopites ทั้งปวง
หมู่มวลค็อปชนนั้นไม่เคยคิดมาก่อนแม้สักเวลานาทีว่ากัปตันทีมยอดดวงใจของพวกเขานั้นจะจากสโมสรแห่งนี้ไปอยู่กับทีมใดอีก โดยเฉพาะในช่วงบั้นปลายชีวิตเช่นนี้
สิ่งที่ทุกคน “เชื่อ” นั้นคือเจอร์ราร์ด จะอยู่กับลิเวอร์พูล สโมสรเดียวตลอดไปจนเลิกเล่นฟุตบอล มีสถานะเป็น One-man-club เป็นตัวอย่างของนักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่ที่รับใช้สโมสรไปจวบจนลมหายใจสุดท้ายในเกมลูกหนัง
น่าเสียดายและน่าเสียใจที่สิ่งเหล่านั้นคงไม่มีวันเกิดขึ้น เมื่อสตีเฟ่น เจอร์ราร์ด เตรียมประกาศการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต
ว่าเขาคงต้องไปจากแอนฟิลด์แล้วหลังจบฤดูกาลนี้
ความจริงแล้วเจอร์ราร์ด เคยมีโอกาสที่จะไปจากลิเวอร์พูลมาก่อนครับ และเป็นโอกาสที่ใกล้เคียงมากด้วยอย่างน้อยถึง 2 ครั้งด้วยกัน
ครั้งแรกในช่วงหลังจบฤดูกาล 2003-04 และอีกครั้ง - ซึ่งใกล้เคียงยิ่งกว่าในช่วงหลังจบฤดูกาล 2004-05 โดยทั้งสองครั้งเป็นเชลซี ที่พยายามจะเจรจาเพื่อดึงตัวเขาไปร่วมทีมให้ได้ และครั้งหลังนั้นเจอร์ราร์ด ตอบตกลงด้วยวาจาไปแล้ว
แต่ในคืนสุดท้ายหลังทบทวนตัวเองอย่างดี เสียงของหัวใจบอกกับเขาว่า แม้การไปอยู่เชลซีจะทำให้เขามีโอกาสประสบความสำเร็จมากมาย แต่จะไม่มีเสื้อสีไหนนอกจากสีแดงของลิเวอร์พูล สนามใดนอกเหนือจากแอนฟิลด์ และแฟนบอลกลุ่มไหนนอกเหนือจากเหล่าเดอะ ค็อป ที่เขาต้องการรับใช้
เจอร์ราร์ด จึงไม่ได้เป็นเพียงกัปตันทีมผู้ยิ่งใหญ่
เขายังเป็นผู้รับใช้สโมสรที่จงรักภักดีมากที่สุดคนหนึ่งด้วย
โอกาสของความสำเร็จ และเงินตราไม่ใช่สาระสำคัญในชีวิต เพราะสิ่งสำคัญที่สุดที่เขาต้องการทำให้ได้คือการนำลิเวอร์พูล กลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง ซึ่งการจะทำให้ได้เช่นนั้น นั่นหมายถึงการ “เสียสละ” ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
ในขณะที่ซูเปอร์สตาร์อย่าง เฟร์นานโด ตอร์เรส และหลุยส์ ซัวเรซ เลือกที่จะทิ้งสโมสรอย่างลิเวอร์พูลไปเพราะรู้ถึง “ศักยภาพ” ของยักษ์หลับในอดีตว่าเป็นเรื่องยากที่จะกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง
เจอร์ราร์ด ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดกล้าปฏิเสธสโมสรอย่างบาเยิร์น มิวนิค และเรอัล มาดริด เพื่ออยู่ที่แอนฟิลด์ต่อไป
ไม่มีใครรู้ครับว่าน้ำหนักของ “ความรับผิดชอบ” ที่เจอร์ราร์ด แบกรับแทนทุกคนตลอดระยะเวลา 11 ปีของการเป็นกัปตันทีมนั้นหนักหนาแค่ไหน
มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้และรับไว้ด้วยความเต็มใจ โดยมิได้ปริปากใดๆ
และแม้จะไม่สามารถบรรลุภารกิจในการนำพาสโมสรกลับคืนสู่จุดสูงสุดได้ โดยเฉพาะกับการคว้าแชมป์ลีกสูงสุด ซึ่งทำได้ดีที่สุดเพียงแค่การเป็นรองแชมป์ 3 ครั้งในฤดูกาล 2001-02, 2008-09 และครั้งล่าสุดที่ใกล้เคียงที่สุดในฤดูกาล 2013-14 ซึ่งจบลงอย่างโศกนาฏกรรม เมื่อเจอร์ราร์ด เป็นคน “ลื่นล้ม” และปล่อยให้โอกาสครั้งเดียวในชีวิตของเขาหลุดมือไป
แต่ระหว่างเขาและเหล่าเดอะ ค็อป นั้นมี “ความทรงจำ” ที่งดงามร่วมกันมากมาย
จากวันแรกที่ลงสนามในฐานะตัวสำรอง สู่ประตูแรกที่สวยงามในเกมกับเชฟฟิลด์ เวย์นสเดย์ ก้าวสู่การเป็นกองกลางตัวหลักของทีม และการเป็นกัปตันทีม
จาก “ปาฏิหารย์ที่อิสตันบูล" กับโทรฟี่ยูโรเปี้ยน คัพ ในปี 2005 สู่ “ปาฏิหารย์แห่งคาร์ดิฟฟ์” กับโทรฟี่เอฟเอ คัพ ในปี 2006
เจอร์ราร์ด เป็นทั้งแรงบันดาลใจ และศูนย์รวมใจของลิเวอร์พูลตลอดมา
แต่เมื่อวันเวลาเดินทางมาถึงวันที่แข้งขานั้นไม่แข็งแรงเหมือนก่อน พละกำลังไม่มีเหมือนเก่า นักฟุตบอลผู้ทระนงในการเล่นอันสง่างามของตัวเองอย่างเจอร์ราร์ด ยังไม่อาจตัดใจยอมรับสภาพของตัวเองได้
รายได้และระยะเวลาในสัญญา 12 เดือนที่ลิเวอร์พูล เพิ่งจะมอบให้ในเดือนพฤศจิกายน
"เจอร์ราร์ด" การตัดสินใจ "แห่งชีวิต"
- ซึ่งจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่เป็นคำถามว่าเหตุใดบอร์ดบริหารจึงดำเนินการล่าช้าขนาดนี้
- ไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกว่าเขา นักฟุตบอลผู้เคยเป็นเบอร์หนึ่งตลอดกาล จะต้องตกอยู่ในฐานะตัวสำรองที่ต้องเฝ้ารอโอกาสตัวเองอย่างอดทน หรือหากลงตัวจริงก็ถูกตราหน้าว่าเป็น “ตัวถ่วง” ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ็บปวดมากในความรู้สึก
อยู่อย่างนี้ สู้จากไปเสียดีกว่า ไปค้นหาความท้าทายใหม่ในบั้นปลายของชีวิตการเล่น ไปในที่ที่เขายังสามารถเป็นเบอร์หนึ่งได้อีกครั้ง
ไม่มีหนทางใดดีไปกว่านี้อีกแล้ว
นี่จึงเป็นการตัดสินใจ “เพื่อตัวเอง” ครั้งแรกและครั้งเดียวของเจอร์ราร์ด เป็นการ “ตัดสินใจแห่งชีวิต” ที่เดอะ ค็อปทุกคนควรต้องยอมรับและปล่อยให้เขาได้ทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง เช่นกันกับเพื่อให้สโมสรได้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้าไม่ต้องเสียเวลากังวลกับไม้ใกล้ฝั่งเช่นเขาอีก
การตัดสินใจครั้งนี้ยังทำให้ทุกคนได้ “ตระหนัก” ถึงความยิ่งใหญ่ของนักฟุตบอลคนนี้อีกครั้ง เพราะบางทีการมองจากเบื้องหน้านั้นเราอาจไม่เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของเจอร์ราร์ด ได้เท่ากับการมองจากเบื้องหลังในวันที่เขาต้องไป
แม้เจอร์ราร์ด จะไม่ได้ลงนามในสัญญาฉบับสุดท้ายที่สโมสรมอบให้ และแม้จะต้องล่ำลาจากกันไปก่อนในวันนี้
แต่ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำเพื่อสโมสรตลอดระยะเวลา 16 ปีในการเป็นนักเตะ กับอีก 25 ปีที่ใช้ชีวิตในรั้วแอนฟิลด์ และ 34 ปีที่มอบทั้งกายและใจให้แก่ลิเวอร์พูล สโมสรรักแรกและรักเดียว
ดังนั้นต่อให้จะไม่ได้สถานะ One-man-club เหมือนเจมี่ คาร์ราเกอร์
- เจอร์ราร์ด นั้นยังคงเป็นตำนานหมายเลขหนึ่งในดวงใจของเดอะค็อปชนเสมอ ในฐานะ “มิสเตอร์ ลิเวอร์พูล” ที่ไม่มีใครสามารถทดแทนได้ตลอดกาล
สิ่งสุดท้ายที่เจอร์ราร์ด จะมอบให้แก่เดอะ ค็อป คือ “สัญญาใจ” ที่จะบอกกล่าวกับทุกคนว่าอย่าได้เศร้าเสียใจนาน
เพราะการจากลาครั้งนี้เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อถึงเวลา เขาจะกลับมา และจะไม่มีวันจากไปไหนอีก!!
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
หมู่มวลค็อปชนนั้นไม่เคยคิดมาก่อนแม้สักเวลานาทีว่ากัปตันทีมยอดดวงใจของพวกเขานั้นจะจากสโมสรแห่งนี้ไปอยู่กับทีมใดอีก โดยเฉพาะในช่วงบั้นปลายชีวิตเช่นนี้
สิ่งที่ทุกคน “เชื่อ” นั้นคือเจอร์ราร์ด จะอยู่กับลิเวอร์พูล สโมสรเดียวตลอดไปจนเลิกเล่นฟุตบอล มีสถานะเป็น One-man-club เป็นตัวอย่างของนักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่ที่รับใช้สโมสรไปจวบจนลมหายใจสุดท้ายในเกมลูกหนัง
น่าเสียดายและน่าเสียใจที่สิ่งเหล่านั้นคงไม่มีวันเกิดขึ้น เมื่อสตีเฟ่น เจอร์ราร์ด เตรียมประกาศการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต
ว่าเขาคงต้องไปจากแอนฟิลด์แล้วหลังจบฤดูกาลนี้
ความจริงแล้วเจอร์ราร์ด เคยมีโอกาสที่จะไปจากลิเวอร์พูลมาก่อนครับ และเป็นโอกาสที่ใกล้เคียงมากด้วยอย่างน้อยถึง 2 ครั้งด้วยกัน
ครั้งแรกในช่วงหลังจบฤดูกาล 2003-04 และอีกครั้ง - ซึ่งใกล้เคียงยิ่งกว่าในช่วงหลังจบฤดูกาล 2004-05 โดยทั้งสองครั้งเป็นเชลซี ที่พยายามจะเจรจาเพื่อดึงตัวเขาไปร่วมทีมให้ได้ และครั้งหลังนั้นเจอร์ราร์ด ตอบตกลงด้วยวาจาไปแล้ว
แต่ในคืนสุดท้ายหลังทบทวนตัวเองอย่างดี เสียงของหัวใจบอกกับเขาว่า แม้การไปอยู่เชลซีจะทำให้เขามีโอกาสประสบความสำเร็จมากมาย แต่จะไม่มีเสื้อสีไหนนอกจากสีแดงของลิเวอร์พูล สนามใดนอกเหนือจากแอนฟิลด์ และแฟนบอลกลุ่มไหนนอกเหนือจากเหล่าเดอะ ค็อป ที่เขาต้องการรับใช้
เจอร์ราร์ด จึงไม่ได้เป็นเพียงกัปตันทีมผู้ยิ่งใหญ่
เขายังเป็นผู้รับใช้สโมสรที่จงรักภักดีมากที่สุดคนหนึ่งด้วย
โอกาสของความสำเร็จ และเงินตราไม่ใช่สาระสำคัญในชีวิต เพราะสิ่งสำคัญที่สุดที่เขาต้องการทำให้ได้คือการนำลิเวอร์พูล กลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง ซึ่งการจะทำให้ได้เช่นนั้น นั่นหมายถึงการ “เสียสละ” ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
ในขณะที่ซูเปอร์สตาร์อย่าง เฟร์นานโด ตอร์เรส และหลุยส์ ซัวเรซ เลือกที่จะทิ้งสโมสรอย่างลิเวอร์พูลไปเพราะรู้ถึง “ศักยภาพ” ของยักษ์หลับในอดีตว่าเป็นเรื่องยากที่จะกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง
เจอร์ราร์ด ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดกล้าปฏิเสธสโมสรอย่างบาเยิร์น มิวนิค และเรอัล มาดริด เพื่ออยู่ที่แอนฟิลด์ต่อไป
ไม่มีใครรู้ครับว่าน้ำหนักของ “ความรับผิดชอบ” ที่เจอร์ราร์ด แบกรับแทนทุกคนตลอดระยะเวลา 11 ปีของการเป็นกัปตันทีมนั้นหนักหนาแค่ไหน
มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้และรับไว้ด้วยความเต็มใจ โดยมิได้ปริปากใดๆ
และแม้จะไม่สามารถบรรลุภารกิจในการนำพาสโมสรกลับคืนสู่จุดสูงสุดได้ โดยเฉพาะกับการคว้าแชมป์ลีกสูงสุด ซึ่งทำได้ดีที่สุดเพียงแค่การเป็นรองแชมป์ 3 ครั้งในฤดูกาล 2001-02, 2008-09 และครั้งล่าสุดที่ใกล้เคียงที่สุดในฤดูกาล 2013-14 ซึ่งจบลงอย่างโศกนาฏกรรม เมื่อเจอร์ราร์ด เป็นคน “ลื่นล้ม” และปล่อยให้โอกาสครั้งเดียวในชีวิตของเขาหลุดมือไป
แต่ระหว่างเขาและเหล่าเดอะ ค็อป นั้นมี “ความทรงจำ” ที่งดงามร่วมกันมากมาย
จากวันแรกที่ลงสนามในฐานะตัวสำรอง สู่ประตูแรกที่สวยงามในเกมกับเชฟฟิลด์ เวย์นสเดย์ ก้าวสู่การเป็นกองกลางตัวหลักของทีม และการเป็นกัปตันทีม
จาก “ปาฏิหารย์ที่อิสตันบูล" กับโทรฟี่ยูโรเปี้ยน คัพ ในปี 2005 สู่ “ปาฏิหารย์แห่งคาร์ดิฟฟ์” กับโทรฟี่เอฟเอ คัพ ในปี 2006
เจอร์ราร์ด เป็นทั้งแรงบันดาลใจ และศูนย์รวมใจของลิเวอร์พูลตลอดมา
แต่เมื่อวันเวลาเดินทางมาถึงวันที่แข้งขานั้นไม่แข็งแรงเหมือนก่อน พละกำลังไม่มีเหมือนเก่า นักฟุตบอลผู้ทระนงในการเล่นอันสง่างามของตัวเองอย่างเจอร์ราร์ด ยังไม่อาจตัดใจยอมรับสภาพของตัวเองได้
รายได้และระยะเวลาในสัญญา 12 เดือนที่ลิเวอร์พูล เพิ่งจะมอบให้ในเดือนพฤศจิกายน
"เจอร์ราร์ด" การตัดสินใจ "แห่งชีวิต"
- ซึ่งจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่เป็นคำถามว่าเหตุใดบอร์ดบริหารจึงดำเนินการล่าช้าขนาดนี้
- ไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกว่าเขา นักฟุตบอลผู้เคยเป็นเบอร์หนึ่งตลอดกาล จะต้องตกอยู่ในฐานะตัวสำรองที่ต้องเฝ้ารอโอกาสตัวเองอย่างอดทน หรือหากลงตัวจริงก็ถูกตราหน้าว่าเป็น “ตัวถ่วง” ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ็บปวดมากในความรู้สึก
อยู่อย่างนี้ สู้จากไปเสียดีกว่า ไปค้นหาความท้าทายใหม่ในบั้นปลายของชีวิตการเล่น ไปในที่ที่เขายังสามารถเป็นเบอร์หนึ่งได้อีกครั้ง
ไม่มีหนทางใดดีไปกว่านี้อีกแล้ว
นี่จึงเป็นการตัดสินใจ “เพื่อตัวเอง” ครั้งแรกและครั้งเดียวของเจอร์ราร์ด เป็นการ “ตัดสินใจแห่งชีวิต” ที่เดอะ ค็อปทุกคนควรต้องยอมรับและปล่อยให้เขาได้ทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง เช่นกันกับเพื่อให้สโมสรได้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้าไม่ต้องเสียเวลากังวลกับไม้ใกล้ฝั่งเช่นเขาอีก
การตัดสินใจครั้งนี้ยังทำให้ทุกคนได้ “ตระหนัก” ถึงความยิ่งใหญ่ของนักฟุตบอลคนนี้อีกครั้ง เพราะบางทีการมองจากเบื้องหน้านั้นเราอาจไม่เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของเจอร์ราร์ด ได้เท่ากับการมองจากเบื้องหลังในวันที่เขาต้องไป
แม้เจอร์ราร์ด จะไม่ได้ลงนามในสัญญาฉบับสุดท้ายที่สโมสรมอบให้ และแม้จะต้องล่ำลาจากกันไปก่อนในวันนี้
แต่ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำเพื่อสโมสรตลอดระยะเวลา 16 ปีในการเป็นนักเตะ กับอีก 25 ปีที่ใช้ชีวิตในรั้วแอนฟิลด์ และ 34 ปีที่มอบทั้งกายและใจให้แก่ลิเวอร์พูล สโมสรรักแรกและรักเดียว
ดังนั้นต่อให้จะไม่ได้สถานะ One-man-club เหมือนเจมี่ คาร์ราเกอร์
- เจอร์ราร์ด นั้นยังคงเป็นตำนานหมายเลขหนึ่งในดวงใจของเดอะค็อปชนเสมอ ในฐานะ “มิสเตอร์ ลิเวอร์พูล” ที่ไม่มีใครสามารถทดแทนได้ตลอดกาล
สิ่งสุดท้ายที่เจอร์ราร์ด จะมอบให้แก่เดอะ ค็อป คือ “สัญญาใจ” ที่จะบอกกล่าวกับทุกคนว่าอย่าได้เศร้าเสียใจนาน
เพราะการจากลาครั้งนี้เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อถึงเวลา เขาจะกลับมา และจะไม่มีวันจากไปไหนอีก!!
Football Insight
by ลูกแม่กิ่ง (lookmaeking@hotmail.com)
by ลูกแม่กิ่ง (lookmaeking@hotmail.com)
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
- เจ้าเก่าSirMosalaเหรียญสำหรับแฟนพันธุแท้โมซาลา
- Post : 94
Like : 11
Points : 11
Join : 10/11/2017
Power :
Re: "เจอร์ราร์ด" การตัดสินใจ "แห่งชีวิต"
Sat 11 Nov 2017, 22:03
ยังเสียดายที่นาย เลิกเล่นวะ
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ